วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

พระเดินพันทิพย์ และการกล่าวตำหนิตักเตือนพระ

.



เมื่ออาทิตย์ก่อน เพื่อนของข้าพเจ้าไปหาซื้อโน้ตบุ๊คที่ห้างพันทิพย์ พร้อมๆกันกับที่พระรูปหนึ่งเดินเข้ามาในร้านเดียวกัน บอกกับเจ้าของร้านว่า

"ช่วยจัดโน้ตบุ๊คสเป็คแรงๆให้อาตมาซักตัวสิ"


ก็เป็นเรื่องตลกโปกฮาที่ข้าพเจ้าคุยกับเพื่อนว่า หลวงพี่จะเอาคอมพิวเตอร์ไปเรนเดอร์งาน3d หรืออย่างไร บ้างก็มีคำกล่าวขำๆว่า ไปบ้านหม้อ ถ้าไม่เห็นพระก็เรียกว่าไปไม่ถึง ซึ่งเรื่องพวกนี้อาจจะหมดความขำไปในไม่ช้า ไม่ใช่ว่าเพราะจะซีเรียสอะไรกัน แต่มันกำลังจะเป็นเรื่องธรรมดาของเราไปซะแล้วมากกว่า

ในฐานะที่ได้งานเกี่ยวกับโปรเจ็คนี้ ข้าพเจ้าคิดว่า เราน่าจะทำอะไรกันได้บ้างกับกรณีที่เห็นพระช็อบปิ้ง ซื้อเพลง ซื้อหนัง ซื้อมือถือ ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ เพื่อให้ภาพแบบนี้ดูน้อยลง เช่น ไม่ขายเกมให้เณร ดีไหม หรือไม่ขายเพลงให้ท่านดี เพราะเวลาเราเห็นท่านทำอะไรที่มันดูไม่ดีอย่าง เห็นพระเห็นเณรเล่นเกม ทำไมเราไม่คิดบ้างว่า ก็ไม่ใช่เพราะไอ้พวกเราๆเองหรือที่ขายของพวกนั้นให้ท่านเล่น


ซึ่งได้รวบรวมความเห็น และบทสัมภาษณ์จากที่ต่างๆดังนี้ครับ
--------------

* กระทู้ถามตรงๆ : มีความคิดเห็นยังไงกับ พระที่เดิน มาบุญครอง พันทิพย์ หรือสถานที่แนวๆ นี้ *
จากเว็บบอร์ด พันทิป

ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า ในฐานะนี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ก็น่าจะถามถึงผู้ใช้คอมพิวเตอร์อื่นๆด้วย จึงไปตั้งกระทู้อีกที่ คือ

* กระทู้ถามตรงๆ : มีความคิดเห็นยังไงกับ พระที่เดิน มาบุญครอง พันทิพย์ หรือสถานที่แนวๆ นี้ *
จากเว็บบอร์ด Gconsole ดุเดือดกันไป ถึงขนาดจะต่อยพระต่อยเจ้า


แต่เมื่อมองความเห็นของทั้งสองฝั่ง ข้าพเจ้าเริ่มเห็นประเด็นอีกอย่างหนึ่งว่า "เราสามารถกล่าวตำหนิพระสงฆ์ได้ไหม" ซึ่งเอาเป็นว่า จะไปศึกษาเพิ่มเติม และรวบรวมความเห็นมาในโอกาสหน้านะครับ

ความเห็นอื่นๆจากพระสงฆ์ครับ

--------------


"เรื่องนี้ โดนมาก เป็นสิ่งที่สังคมตำหนิ และตัวพระก็เป็นจริง
การตำหนิในใจมันไม่ควร เพราะมันจะทำให้เราเกิดอคติ เพราะอคติของเราก็จะไปลงกับพระรูปอื่นด้วย
พระรูปอื่นที่เค้าประพฤติตัวดีก็มี มันจะเป็นบาปที่ติกับตัวเอง

แล้วเราควรเตือนไหม คือผมฟังพระบางท่านเทศน์ว่า เราสามารถเตือนได้ เพราะมันก็เป็นบุญที่เราแนะนำ ชี้แนะเขา

ไม่ควร เคยมีโยมบอกว่า หลวงพี่ทำตัวดีๆแล้วกัน อาตมาก็บอกว่า โยม อยู่ถือศีลอะไร แล้วโยมพูดด้วยความรู้สึกยังไง
ซักพักเขาก็รู้ตัวและขอโทษ เรื่องที่บอกว่าไม่ควรเพราะ ถ้าโยมปฏิบัติธรม จะรู้ว่า เราไม่ควรตำหนิ ท่านผิด ท่านก็ผิด
โยมรู้จากอะไรว่าพระท่านนี้ควรไม่ควร โยมรู้ว่ามันไม่ควรในแง่ของพระวินัย แต่ลึกๆแล้วโยมไม่รู้จุดประสงค์นะ
พระบางท่านเขาอาจจะศึกษาบางอย่างจากหนังก็ได้ ซึ่งในเรื่องพระวินัยแบบควรไม่ควรเนี่ย เมื่อโยมรู้จากตำรา โยมจะคิดเองเออเองว่า ใช่ โยมรู้แล้ว
แต่ถ้ารู้จากการปฏิบัติ เข้าใจด้วยการสัมผัส จิต และสมาธิ โยมจะเข้าใจว่ามันไม่ได้ผิดบาป มันมีอะไรมากกว่าการผิดจากกฏที่โยมจดจำด้วยตัวอักษรในตำรา

แต่ยอมรับว่า พระที่เข้าไปในที่ตรงนั้น แล้วใช้ปัจจัยจ่ายซื้อมาเพื่อสิ่งบันเทิง มีอยู่จริง เยอะด้วย
ซึ่งในเบื้องต้นก็คิดว่าไม่ควรนะ เพราะมันเป็นที่อโคจร แคบ ผู้คนแออัด มันจะมีผลได้ทั้งว่า พระสงฆ์อาจโดนลวงเล่วงเกิน และเป็นเป้าที่ล่อแหลมต่อสายตาประชาชนในที่นั้น"

- พระกฤษวัฒน์ วัดป่านาบุญ จังหวัดเชียงใหม่

-------------

"ไม่เหมาะนะ ยกเว้นแต่ว่าไปในกิจธุระเช่น ซื้อคอมเพื่อการศึกษา บริจาคให้โรงเรียน คือมีกิจที่ต้องไปจริงๆ แล้วก็พระไม่ควรใช้เงินนะ เงินมันเป็นของทางโลก"

- พระสมภพ วัดบางกระดี่

-------------

เรื่องการว่ากล่าวตักเตือนพระ ข้าพเจ้าขอหยิบประโยคนึงของท่าน ว.วชิรเมธี ขึ้นมา โดยประโยคนี้มาจากเทศนาเรื่อง "พระให้หวยแม่นจริงหรือ" ซึ่งหากไม่สามารถแทนกันได้ในแง่เหตุผล เพราะเป็นคนละกรณี ท่านผู้อ่านก็สามารถทักท้วงได้นะครับ

"เพราะฉะนั้นพระอย่างนี้ ถ้าเราเจอท่าน เราต้องไปถวายความรู้ท่าน ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง อะไรคือสิ่งที่ดีงาม ไม่ใช่น่าไหว้นะ น่าถวายความรู้ เพราะแสดงถึงว่าท่านเป็นพระที่ไม่รู้อะไร ถ้าท่านรู้ท่านจะไม่ทำอะไรอย่างนั้น"

>> การทำบุญ การเรี่ยไรเงินเข้าวัด หารายได้เข้าวัด

.



หลายครั้งที่ข้าพเจ้ามักถูกเตือนให้ทำบุญเสียบ้าง ทั้งในยามปกติและวันพิเศษ บางครั้งจะเป็นคำพูดเล่นๆลอยๆตอนเกิดงานการติดขัดว่า "ทำบุญซะบ้างนะมึงอ่ะ"

นิสัยคนไทยผูกติดอยู่กับการทำบุญ สมัยก่อนข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำบุญให้วัด เนื่องจาก ทหารผ่านศึก สัตว์ ผู้พิการในประเทศนี้ก็มีเยอะเพียงพอให้ท่านแบ่งปันให้เขา แต่ก็ไม่ได้หาคำตอบจริงจัง เพราะไม่ว่าจะได้คำตอบหรือไม่ ข้าพเจ้าก็ทำบุญตามที่ข้าพเจ้าพอใจอยู่แล้ว

แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจข้าพเจ้าที่สุดคือ กรณีที่บอกว่า ทำบุญที่วัดนี้แล้วได้บุญเยอะ ที่วัดนี้แล้วเป็นมงคล ซึ่งพอตอบว่าไม่ชอบทำบุญที่วัดก็โดนกล่าวหาว่าไม่มีศาสนาอีก สรุปแล้วคนไทยจะทำบุญเพื่ออะไรเนี่ย เพื่อซื้อบุญ เพื่อขอให้รวย ซื้อพื้นที่ในสวรรค์ หรือว่าเพื่อความสบายใจที่เกิดจากการให้ทาน

จนวันหนึ่งข้าพเจ้าไปที่วัดแห่งหนึ่ง และพบว่ามีการตั้งร้านจำหน่ายวัตถุมงคล ซุ้มแลกเงิน ซุ้มรับซื้อกระเบื้องกันภายในวัด เมื่อเทียบกับดีมานด์ซัพพลายในการทำบุญ และเสนอบุญให้ทำ มันก็เข้าแก็บลงตัวกันพอดี แต่อดคิดไม่ได้ว่า เออ นี่มันใช่สาระของศาสนาจริงเหรอ?

ข้าพเจ้าในตั้งกระทู้เพื่อถามความเห็นจากชาวพุทธในอินเตอร์เน็ต และสัมภาษณ์พระสงฆ์ รวมไปถึงค้นเรื่องราวเก่าๆที่เกี่ยวกับกรณีนี้อยู่ ออกมาดังนี้ครับ

---------------------------


สมควรไหมครับ ที่มีของพวกนี้ในวัด <<
จากพันทิป

---------------------------

สมควรไหมครับ ที่มีของพวกนี้ในวัด <<
จากเว็บไซท์ พลังจิต

---------------------------

"การทำบุญ ถ้าเราทำกับผู้มีศีล ก็จะได้บุญมากกว่า ยิ่งศีลสูงมาก ก็ยิ่งได้บุญมาก
เพราะอะไร เพราะว่ายิ่งศีลสูง เท่ากับว่าเขามีโอกาสทำชั่วน้อย มีโอกาสทำดีเยอะ"
- พระธมฺมชาโต พระชาวอินโดนีเซีย สัมภาษณ์ที่วัดบวรนิเวศน์

---------------------------

"อาตมาคิดว่า สิ่งที่น่าจะเป็นประเด็นกว่าคือ เงินนั่นได้เอาไปใช้ในส่วนไหน เอาไปใช้ซ่อมแซมบำรุงวัดจริง หรือ เอาไปเข้าส่วนอื่น ไปตกที่มัคทายก ญาติโยม อะไรแบบนี้"
- พระกฤษวัฒน์ วัดป่านาบุญ จังหวัดเชียงใหม่

---------------------------

"เพราะชาวบ้านคิดว่า มาบริจาคสร้างโบสถ์ แล้วจะได้บุญ การสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม ให้จุชาวบ้านที่มาทำบุญได้มากเป็นเรื่องดี แต่ชาวบ้านบริจาคเพราะต้องการกุศลตอบแทน อันนี้เป็นเรื่องไม่ค่อยดี หวังแต่ว่า ขอให้ชาติหน้ารวยๆ ขอให้โชคดี และอีกอย่างที่เป็นปัญหามาก คือ การทำบุญแล้วแปะชื่อตัวเองเข้าไป เช่น ถวายห้องน้ำ การทำบุญนี่ควรให้อย่างไม่หวังสิ่งตอบแทนนะ แต่นี่ถวายห้องน้ำ แถมแปะชื่อ แปะจำนวนเงิน คือยึดติดและหวังผลมาก

ชาวบ้านบางคนก็จะเขียนชื่อตัวเองไว้ในกระเบื้องที่บริจาค เพราะเชื่อว่าจะได้ไปสวรรค์ถูกคน เป็นหลักฐานอะไรแบบนั้น บางคนก็บริจาคเพื่ออวดบารมี"

- พระสมภพ วัดบางกระดี่


----------------------------

"ที่อินโดนีเซียก็มีการทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างวัดเหมือนกัน เขาก็จะบอกว่าจะสร้างโบสถ์นะ แค่นั้น แล้วพุทธศาสนิกชนก็จะบริจาค มีกรณีที่บังคับบริจาคด้วยนะ แต่มันไม่ดีหรอก"
- พระธมฺมชาโต ชาวอินโดนีเซีย


----------------------------


>> บทสัมภาษณ์พระกฤษวัฒน์ วัดป่านาบุญ จังหวัดเชียงใหม่

ข้าพเจ้าได้พบพระกฤษวัฒน์ขณะที่ไปหาข้อมูลที่วัดบวรนิเวศน์ พระกฤษวัฒน์บอกว่าท่านเป็นพระที่เน้นด้านปฏิบัติ เมื่อสัมภาษณ์แล้ว รู้สึกว่ามีความแตกต่างกับที่เคยสัมภาษณ์พุทธศาสนิกชนหรือพระสงฆ์อยู่บางส่วน เลยนำเอามาลงให้อ่านกันครับ

--------------

ผมได้ไปวัดที่ต่างจังหวัดมา ก็เป็นวัดใหญ่เหมือนวัดประจำจังหวัด ที่ผมเห็นคือ บูธขายกระเบื้องที่เขียนว่าบริจาคให้วัด มีการป้ายปริ๊นท์ไวนีล โต๊ะแลกเหรียญ ห้องบัญชี
คือ ผมเห็นแล้วผมไม่แน่ใจว่า วัดสามารถหารายได้แบบนี้ได้เหรอ?

อาตมาคิดว่า สิ่งที่น่าจะเป็นประเด็นกว่าคือ เงินนั่นได้เอาไปใช้ในส่วนไหน เอาไปใช้ซ่อมแซมบำรุงวัดจริง หรือ เอาไปเข้าส่วนอื่น ไปตกที่มัคทายก ญาติโยม อะไรแบบนี้มากกว่า

พระอาจารย์คิดยังไงกับการที่พระสงฆ์เดินในห้างพันทิพย์
เรื่องนี้ โดนมาก เป็นสิ่งที่สังคมตำหนิ และตัวพระก็เป็นจริงด้วย แต่ถ้าเราเห็นเขาแล้วตำหนิในใจมันไม่ควร เพราะมันจะทำให้เราเกิดอคติ เพราะอคติของเราก็จะไปลงกับพระรูปอื่นด้วย พระรูปอื่นที่เค้าประพฤติตัวดีก็มี มันจะเป็นบาปที่ติกับตัวเอง

แล้วเราสามารถว่ากล่าว ตักเตือนได้ไหม คือผมฟังพระบางท่านเทศน์ว่า เราสามารถเตือนได้ เพราะมันก็เป็นบุญที่เราแนะนำ ชี้แนะเขา
ไม่ควร เคยมีโยมบอกว่า หลวงพี่ทำตัวดีๆแล้วกัน อาตมาก็บอกว่า โยม อยู่ถือศีลอะไร แล้วโยมพูดด้วยความรู้สึกยังไง ซักพักเขาก็รู้ตัวและขอโทษ

เรื่องที่บอกว่าไม่ควรเพราะ ถ้าโยมปฏิบัติธรม จะรู้ว่า เราไม่ควรตำหนิ ท่านผิด ท่านก็ผิด โยมรู้จากอะไรว่าพระท่านนี้ควรไม่ควร โยมรู้ว่ามันไม่ควรในแง่ของพระวินัย แต่ลึกๆแล้วโยมไม่รู้จุดประสงค์นะ พระบางท่านเขาอาจจะศึกษาบางอย่างจากหนังก็ได้ ซึ่งในเรื่องพระวินัยแบบควรไม่ควรเนี่ย เมื่อโยมรู้จากตำรา โยมจะคิดเองเออเองว่า ใช่ โยมรู้แจ้งแล้ว แต่ถ้ารู้จากการปฏิบัติ เข้าใจด้วยการสัมผัส จิต และสมาธิ โยมจะเข้าใจว่ามันไม่ได้ผิดบาป มันมีอะไรมากกว่าการผิดจากกฏที่โยมจดจำด้วยตัวอักษรในตำรา

ยอมรับว่า พระที่เข้าไปในที่ตรงนั้น แล้วใช้ปัจจัยจ่ายซื้อมาเพื่อสิ่งบันเทิง มีอยู่จริง เยอะด้วย ซึ่งในเบื้องต้นก็คิดว่าไม่ควรนะ เพราะมันเป็นที่อโคจร แคบ ผู้คนแออัด มันจะมีผลได้ทั้งว่า พระสงฆ์อาจโดนล่วงเกิน และเป็นเป้าที่ล่อแหลมต่อสายตาประชาชนในที่นั้น

สมมุติว่า พุทธศาสนิกชน เตือนไม่ได้ แล้วใครจะเตือน
พระภิกษุสงฆ์ตักเตือนกันเองได้ แฃ้วก็ต้องดูว่า ท่านยอมรับหรือไม่ ถ้าไม่ก็ว่ากันตามกฏ บางอย่างต้องดูที่เหตุและผล เช่น พระจับเงิน ซื้อของ เช่น พ่อแม่ป่วย แล้วไม่มีญาติ ท่านต้องหาหยูกยามารักษา มันจำเป็น ก็ต้องแตะเงิน คือ แตะได้ แต่ก็ต้องมีเหตุ ไม่ใช่จะมาตำหนิกันอย่างเดียว เฮ้ย ท่านใช้เงิน ผิดๆ อย่างนี้มันไม่ได้หรอก

จากที่ผมสัมภาษณ์ และประสบการณ์ของผมคือ ผมหลุดจากศาสนาพุทธไปในช่วง ม.ต้น เพราะผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเรียนบทนี้ ต้องท่องบทนี้ และการสอนหลายอย่างที่มันบิดเบือน อยากถามว่าท่านกฤษวัฒน์รู้สึกอย่างไรกับการเรียนการสอนพุทธศาสนาของเรา
การสอนวิชาพุทธศาสนา บางส่วน การสอนแบบนั้นก็มีส่วนให้เกิดความไม่เข้าใจ เช่น ผู้สอนเองก็ไม่เข้าใจถ่องแท้ เพื่อนฝูงก็มีส่วน การบีบคั้นทางสังคม ครอบครัว ก็มีส่วน

หลักสูตรมันดีอยู่แล้วรึยัง ก็ยังไม่ดีหรอก คือมันได้ในแง่ของนกแก้วนกขุนทอง คือ รู้ มันก็รู้ไม่จริง คือแค่ให้บรรจุอยู่ในประถมมัธยม แต่เด็กเขารู้มั้ย เช่น นั่งสมาธิ ผู้สอนรู้ดีแค่ไหน หรือรู้แแค่คำอธิบายเหมือนกัน เพราะสมาธิก็จะมีหลายแง่ เช่น ทำงานก็มีสมาธิ (ขณิกสมาธิ ทำงานเพลินจนลืมสมาธิ) แต่ถ้าเราจะสอนให้เด็กรู้จักแค่การนั่งสมาธิต้องออกมาเป็นแบบในรูปนี้อย่างเดียว เด็กก็คงไม่เข้าใจถึงคำว่าสมาธิ

ถามเรื่องการปล่อยนกปล่อยปลาหน่อยครับ คือในมุมมองของผม ผมสงสัยว่ามันนับเป็นบาปได้มั้ย เพราะเหมือนการที่เราส่งเสริมให้คนขายจับสัตว์มาขายเป็นอาชีพ
อาชีพคนจับก็ได้บาปไป ผู้ที่ปล่อยก็ได้บุญไป บุญมันคือความสบายใจ อิ่มเอิบใจนะ เราห้ามเค้าไม่ได้หรอก เรื่องจับ มันก็เหมือนที่เค้าปล่อยปลาปล่อยเต่า
อาตมาก็เห็นที่วัดระฆัง เขาปล่อยเต่า ปล่อยไปไม่เท่าไหร่ แล้วก็ว่ายไปจับกลับมา

แต่อย่าไปคิดมาก เราทำไปก็ได้บุญ เราคิดมากก็ไม่ได้บุญ
เรื่องจับ มันเป็นเรื่องบาปของเค้า
เราไม่ได้บาปด้วยหรอก

วัดทำอะไรได้มั้ย เรื่องที่พ่อค้าแม่ค้าเค้ามาทำกิจการนี้ในวัด
ก็ต้องดูที่เจตนา เรื่องที่พ่อค้าแม่ค้าเอามาเปิดกิจการในวัด ถ้าเอาเงินเข้าวัด บำรุงวัดก็ยังพอรับได้ แต่ถ้าเอาเข้าส่วนอื่นนี่ก็แย่นะ

ในช่วงที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวทางการเมืองเยอะ ผมเห็นพระไปขึ้นเวทีเสื้อสีก็มี พระออกมาประท้วง เรียกร้องทางการเมืองก็ดี (เรื่องการบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องการฮุบที่ดินวัด) ในเรื่องการปลุกระดมของเวทีสีเสื้อนี่มันคงจะชัดว่าไม่เหมาะ ผมก็อยากรู้ว่า แค่ไหนถึงจะเหมาะ เพราะมันมีประเด็นที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของสงฆ์

จริงๆแล้วพระไม่ควรยุ่งเลย ในเรื่องการเมือง ทางโลก ถ้าท่านยังสนใจในเรื่องการเมืองและทางโลก ท่านก็เป็นปุถุชน ในเรื่องฮุบที่ดินวัดนี่มีสิทธิ สามารถเรียกร้องสิทธิ์ตรงนั้นได้นะ มันเป็นที่ของวัด โยมจะตัดต้นไม้ในวัด โยมยังต้องขอเลยนะ ถ้าเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของและสิทธิของสงฆ์ก็สามารถเรียกร้องได้

ช่วงนี้มีกระแสเกี่ยวกับการแก้กรรม หนังสือสแกนกรรมอะไรพวกนี้ คิดว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่ในทางเดียวกับพุทธศาสนามั้ย
ก็มีเกี่ยวกับทางพุทธศาสนา เรื่องกรรมเนี่ยก็ขึ้นอยู่กับว่า เหตุและปัจจัยนั้น เช่น ถ้าญาติโยมเชื่อว่า กฏแห่งกรรมมีจริง เราก็ปฏิบัติธรรมและยกกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรไป คือตามหลักของพระพุทธเจ้า อย่าหลงเชื่อตามลมปาก บางอย่างมันสามารถดูกันง่ายกว่านั้นโดยไม่ต้องไปมองชาติไหน เช่น มะเร็ง รักษาหาหมอ ไม่หาย ไม่ดีขึ้นก็เครียด พอเครียด ก็จะทำให้มะเร็งโต แต่ถ้านั่งสมาธิ จิตเย็น มะเร็งเติบโตน้อยลง นี่ก็เป็นอีกมุมของการปฏิบัตธรรมแล้วรักษาโรคทางกายได้

ผมได้อ่านเกี่ยวกับการเตรียมตัวเพื่อแก้กรรมทำแท้งจากวัดๆหนึ่ง ซึ่งมีการถวายปัจจัยด้วย อยากทราบความเห็นของท่านอาจารย์ครับ
เรื่องปัจจัยในการแก้กรรม เช่นการทำแท้ง มันเหมือนการฆ่าคน ถ้าจะทำบุญกุศล ก็ต้องบวชให้เค้า เพราะการบวชเป็นบุญใหญ่
ทำไมต้องทำ เพราะเราไปทำลายชีวิตเค้า การบวชไม่ใช่การแก้กรรม เท่าที่อาตมารู้คือ เราทำบุญกุศลให้เค้าเพื่อคลายความแค้นให้เค้า เพราะถ้าการทำแท้งมันเป็นการทำลายชีวิตเค้า เค้าทรมานจนกว่าจะถึงเวลาตาย ยิ่งเค้าเป็นเด็ก เค้าไม่ได้เกิดมา ซึ่งเค้าก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก คอยตามจองเวรคนที่ทำร้ายเค้า



ส่วนเรื่องถวายปัจจัย อาตมาไม่มีความเห็น

เรื่องโลกวิญญาณ นี้มันเป็นสาระ หรือ เป็นสิ่งสำคัญของพระพุทธศาสนามั้ย
เค้าไม่อยากให้พูดเรื่องจิตวิญญาณ เพราะจะกลายเป็นเรื่องงมงายไป ไม่มี ไม่เห็น ก็มีชีวิตอยู่อย่างปกติสุขได้ ยกเว้นว่ารู้และเห็นแล้วจริง

ถามเรื่องพระเครื่องหน่อยครับ พระที่ปลุกเสกเครื่องสิ่งศักดิ์สิทธ์นี่ มีความเห็นยังไงครับ
มันเป็นเรื่องของจิตศรัทธา อย่างพระเครื่องมันก็เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแม้ว่าคนสมัยนี้จะเอาไปใช้เป็นเรื่องราวป้องกันภัย บางอย่างที่พระเครื่องสร้างปาฏิหาริย์ มันจะเกิดทุกคนมั้ย ก็ไม่ใช่ มันแล้วแต่คนด้วย คนเลวบางคนใส่พระเต็มตัว อมพระในปาก โดนปืนกลสาดเละก็มี

ส่วนเรื่องควรไม่ควร พระปลุกเสก หรือสร้างรูปหล่อ ต้องดูว่าเพื่ออะไร เช่น พิธีฉลองครบรอบ 60 ปีครองราชย์ เอาเงินถวายให้ในหลวง ก็ถือว่าสมควร
แต่บางวัดก็ไม่ควร หล่อรูปเจ้าแม้กวนอิม บอกว่ามาจากจีน ตอนแรกทำแค่ 400 องค์ หมดแล้ว เอามาอีก 500 แล้วก็เอามาอีก 500 ให้เช่าแค่ผู้หญิง เท่านั้น ค่าเช่าองค์ละ 4000 บาท ซึ่งตอนหลังก็สืบรู้ว่าไปสั่งทำจากพุทธมณฑลสายสี่นี่เอง
ถึงจะบอกว่าไม่เหมาะ แต่เจ้าอาวาสและวัดนี้ก็ยังอยู่ดี

แล้วเราทำอะไรได้บ้าง กรณีนี้
วิธีที่เราควรทำที่สุดคือ ไม่สนับสนุน แค่นั้น แหละ
คือคนไทยยังเชื่ออะไรง่ายเกินไป งมงายไป เช่น จุตคาม จากการบูชา กลายเป็นการค้า และการเป็น เจ๊ง ล้มละลาย
กู้หนี้ยืมสิน แรกๆอาจจะดี แต่หลังๆจุดประสงค์มันไม่ใช่

เหมาะไม่เหมาะนี่ อาตมาคิดว่า พระที่เค้าเอาเงินไปทำซ่อมแซม โน่นนี่ก็ยังถือว่าโอเค



ผมเห็นบางวัด มีรูปหล่อจุตคามใหญ่มาก ตั้งกันดื้อๆในวัดเลย ถ้าแบบนี้มันสมควรแล้วเหรอ เพราะมันก็อาจไม่ใช่สาระที่พระพุทธเจ้าสอน เหมือนเอาเทพมาขาย จุตคามรามเทพ มันก็ไม่เชิงเอาเทพมาขาย เพราะเค้าก็เป็นโพธิสัตว์ที่ปกปักรักษาพระพุทธศาสนาเหมือนกัน
คือรู้ได้ รู้จักได้ นับถือได้ แต่อย่ายึดติด ไม่ได้ช่วยให้ตัวเองรอดพ้นได้จากการเวียนว่ายตายเกิด คือผู้ที่ตัวเองช่วยคือตนเอง ไม่ใช่เทพ

จุดมุ่งหมายของศาสนาพุทธคืออะไร
จุดสูงสุดพุทธคือ นิพพาน แต่จริงๆแล้ว พระพุทธเจ้า เผยแพร่ทำมาแค่ ให้คนรู้จักเกรงกลัวต่อบาป รู้จักละอาย แค่ศีล 5 มีสติ รู้ดีชั่ว ก็พอแล้ว
เช่น การเป็นชู้ เมียน้อย เมื่อก่อนมียาก เดี๋ยวนี้มีง่าย เหมือนเป็นเกย์ มันก็มีมานานตั้งแต่พุทธกาล แต่เดี๋ยวนี้เปิดเผยขึ้น ซึ่ง เหมือนจะดีนะ อายุ 30 ก็ยังมีเพื่อน มีคนอยู่ด้วย แต่กลังจากนั้นแหละ เค้าจะทุกข์ เหงา ...ชู้และเกย์ ก็เข้าทำนองคล้ายกัน มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่เราจะหลงเข้าไป แต่เราก็จะทุกข์ในภายหลัง

เราสามารถเข้าถึงนิพพานได้โดย วางธรรมะ คือไม่ยึดติด ไม่ยึดติดกับธรรมะ รู้กิเลสจนถึงที่สุด รู้ธรรมะจนถึงที่สุด อันนั้นถึงว่าจบโดยสมบูรณ์ ถ้าไม่รู้จักกิเลส ก็ไม่รู้จักบุญ ถ้าไม่รู้จักบุญ ก็ไม่รู้จักกิเลส โลกนี้มันมีทั้งสองด้านเสมอ เหมือนอยู่กับตาย

โยมรู้จักคำว่า "ตายก่อนตาย"ไหม
คือถ้าเราจะโตขึ้น เติบโตขึ้น เราต้องผลัดผิว ผลัดส่วนในกายแล้วออกไป ถ้าเราไม่ตาย มันก็ไม่เติบโต

เรื่องสวดมนต์มีผลกับผมมาก มันเป็นส่วนนึงที่ทำให้ผมไม่เข้าใจศาสนาว่า ทำไมโรงเรียนต้องบังคับผมสวดมนต์ ทำไมอาจารย์ต้องบอกว่ามันได้บุญ
เรื่องบุญในการสวดมนต์ สวดเพราะความจำยอม มันไม่ได้บุญหรอก แต่ถ้าสวดเพราะสมาธิ ก็ได้บุญ
ส่วน บุญคืออะไร ความรู้สึกยินดี เต็มใจ ทำแล้ว สบายใจ ทำให้จิตใจเราผ่องใสขึ้น สงบขึ้น เรามีสุข นั่นคือ บุญ

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

>> ภาพเขียนชุด "ความเคลือบแคลงใจในสังคมไทยพุทธ"

.
-----
------
------
------
-----
-----


ภาพเขียนชุด ความเคลือบแคลงใจในสังคมไทยพุทธ
เป็นภาพที่เขียนขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเคลือบแคลงใจ กับพฤติกรรมของทั้งพุทธศาสนิกชนและพระสงฆ์ ซึ่งกว่าจะหาคำตอบของความแคลือบแคลงใจว่าเหมาะสมมั้ย ถูกควรมั้ยนี้ เรากลับรู้สึกชินชากับมันก่อนที่เราจะได้คำตอบไปแล้ว

ข้าพเจ้าจึงเขียนภาพพวกนี้ขึ้น เพื่อเป็นการย้ำเตือนถึงความเป็นจริงที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ว่าเรากำลังเห็นคนในสังคมเรางมงายขอหวย เห็นคนในสังคมเราทำบุญหวังรวย หวังสวรรค์ เห็นพระในสังคมเราเดินพันทิพย์ เห็นเด็กถูกสั่งสอนให้ท่องจำวิชาพุทธศาสนาเหมือนนกแก้วนกขุนทอง

>> การเรียนการสอนพุทธศานา ตอนที่ 2

.


ปฏิเสธไม่ได้ว่า นักเรียนนักศึกษา เยาวชนจำนวนหนึ่ง เบื่อหน่ายศาสนาเพราะการปลูกฝังแบบโบราณ ที่ให้ท่องจำบทสวดเป็นการสอบ และบอกว่าท่องแล้วได้บุญ เมื่อเด็กเหล่านี้ได้รับการศึกษาด้านอื่นๆในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย ซึ่งทำให้มีความเข้าใจในตรรกะพื้นฐานของโลกความจริงมากขึ้น สิ่งที่สั่งสอนไปจึงถูกมองเป็นความงมงาย กลายเป็นว่าการเรียนการสอนพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ น่าเหนื่อยหน่าย

การตั้งกระทู้ถามของข้าพเจ้าจึงเล็งไปที่ๆมีกลุ่มเด็กนักเรียนอยู่เยอะคือเว็บบอร์ดเด็กดี โดยใช้ข้อความจากบทสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้เป็นภาษาสำหรับการตั้งกระทู้


อยากถามว่าเพื่อนๆคิดยังไงกับวิชาพระพุทธศาสนาครับ << จากเว็บบอร์ดเด็กดี

------------


"การสอนวิชาพุทธศาสนา
บางส่วน การสอนแบบนั้นก็มีส่วนให้เกิดความไม่เข้าใจ เช่น ผู้สอนเองก็ไม่เข้าใจถ่องแท้ เพื่อนฝูงก็มีส่วน การบีบคั้นทางสังคม ครอบครัว ก็มีส่วน
หลักสูตรมันดีอยู่แล้วรึยัง ก็ยังไม่ดีหรอก คือมันได้ในแง่ของนกแก้วนกขุนทอง คือ รู้ มันก็รู้ไม่จริง คือแค่ให้บรรจุอยู่ในประถมมัธยม แต่เด็กเขารู้มั้ย เช่น นั่งสมาธิ ผู้สอนรู้ดีแค่ไหน หรือรู้แแค่คำอธิบายเหมือนกัน
เพราะสมาธิก็จะมีหลายแง่ เช่น ทำงานก็มีสมาธิ (ขณิกสมาธิ ทำงานเพลินจนลืมสมาธิ) แต่ถ้าเราจะสอนให้เด็กรู้จักแค่การนั่งสมาธิต้องออกมาเป็นแบบในรูปนี้อย่างเดียว เด็กก็คงไม่เข้าใจถึงคำว่าสมาธิ"

-จากบทสัมภาษณ์ พระกฤษวัฒน์ วัดป่านาบุญ จังหวัดเชียงใหม่

-----------------

ถึงตรงนี้ขอยกอีกหนึ่งเทศนาจากท่าน ว.วชิรเมธี เกี่ยวกับการเผยแผ่ศาสนาที่ผิดๆ ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อเด็กวัยรุ่น และปัญญาชน

"ตรงนี้เองคืออุปสรรคและปัญหาของการเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่แท้จรงในเมืองไทย เป็นเหตุให้ปัญญาชนทั้งหลาย เซ็งศาสนา โดยเฉพาะอาตมาที่สอนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัย 10 กว่าแห่งเนี่ย อาตมามีโอกาสได้สัมผัสตั้งแต่อธิการบดีจนถึงเด็กปี1ปี2 อาตมารู้เลยว่าทำไมวัยรุ่นที่อยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อ คืออยู่ในมหาวิทยาลัย กับปัญญาชนทั้งหลายในมหาวิทยาลัย ทำไมจึงเบื่อพุทธศาสนา ก็เพราะเขาเข้าไม่ถึงแก่น เค้ามองเห็นแต่ก้อนอิฐก้อนหินที่คนเอาพระไปซ่อนไว้ข้างใน เห็นแต่ตัวเจดีย์ซึ่งมันปิดบังพระ ไม่เห็นตัวพระที่ซ่อนไว้ข้างใน ก็เลยหันหลังให้ศาสนา เหล่านี้ทั้งหลังทั้งปวงก็คือ ความมืดสีขาว "
- เทศนาเรื่อง "ฝ่าความมืดสีขาว" พระ ว. วชีริเมธี

>> การเรียนการสอนพุทธศาสนา ตอนที่ 1 - บทสัมภาษณ์นักเรียน นักศึกษา

.




การปลูกฝังพุทธศาสนาแก่เยาวชน ไม่ว่าในห้องเรียนก็ดี หรือ นอกห้องเรียนก็ดี มีส่วนช่วยกำหนดความเป็นไปของพุทธศาสนา หากเยาวชนรุ่นใหม่มีความรักและเข้าใจในศาสนา สถาบันศาสนาของสังคมก็แข็งแกร่ง หากคนรุ่นใหม่ไม่สนใจ ศาสนาก็เหมือนรอวันดับสลายไปนั่นเอง

ปัจจุบันแนวโน้มดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างหลัง วัยรุ่น เด็กรุ่นใหม่ถูกตำหนิว่าไม่สนใจพุทธศาสนา แน่นอนว่ากระแสวัฒนธรรมตะวันตก และกระแสบริโภคนิยมก็เป็นส่วนหนึ่งของเหตุ แต่อีกข้อนึงที่ไม่ค่อยจะมีใครพูดถึงคือ การปลูกฝัง การเรียนการสอนพุทธศาสนาของเรา ไม่มีประสิทธิภาพ แย่ และเป็นส่วนทำให้เยาวชนหนีห่างศาสนาได้เช่นกัน

----------------

บทสัมภาษณ์นักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่ง เกี่ยวกับวิชาพระพุทธศาสนา
ข้าพเจ้าได้สัมภาษณ์นักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ไม่เชื่อและเกลียดวิชาพระพุทธศาสนา และได้ข้อมูลดังนี้


ชื่ออะไรโรงงเรียนอะไร สายอะไรครับ?
ชื่อซิน ร.ร.******(เซ็นเซอร์) ม.5 สายวิทย์

ชื่อจริงด้วย
************(เซ็นเซอร์)

รู้สึกยังไงกับวิชาพระพุทธศาสนา?
จริงจังมากเลยตัว// เป็นวิชาที่คิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งเป็นวิชาพื้นถานแล้วก็ให่นักเรียนเรียนกันทุกคน
แล้วก็ การเรียนไม่ได้สอนอะไรไปมากกว่าการเรียนประวัติพระสาวก บาสกบาสิกา

อืมม
ไม่มีการสอนที่แท้จริงเกี่ยวกับความเป็นมาของบทสวดมนต์

ถึงตอนนี้ก็ยังสอนแบบนี้อยู่เหรอ?
ให้สวดมนทั้งๆที่ไม่มีความหมายที่แท้จริงเป็นนกแก้วนกขุนทองไปวันๆแล้วยังมีหน้ามาบอกว่าได้บุญ?
นั่นเป็นตอนม.ต้น //หลายๆร.ร.ก็สอนแบบนี้

ตอนม.ปลายนี่สอนยังไง?
ม.ปลาย ม.5 สอนแบบประยุกต์เอาหลักธรรมในแนวคิดคนอื่นๆมาเล่าให้วิเคราะห์หกันซึ่งก็ไม่ได้ผลเท่าไหร่เพราะอาจารย์ชอบยัดเยียดค.คิดของแกไห้
ถ้าเกิดอ.พระพุทธ งมงายก็ซวยไปนะ สอนแบบนี้ะ

อืมมม คล้ายกันกับที่เราเรียน แต่ของเราพระมาสอน
ม.ต้นก็มีพระสอน //พระไม่สอนหลักธรรมแต่สอนให้รักพ่อแม่+ชอบเอาคลิปมาให้ดูประมาณนี้
พี่คิดดูนะ

อาฮะ?
นั่งสมาธินี่มันได้บุญหรอ ห๊ะ
เห็นบอกว่านั่งแล้วได้บุญได้ยังไงอะ นั่งเฉยๆ แค่เนี้ย ให้ไปทำประโยชน์อย่างอื่นยังจะดีซะกว่า

นี่คือตอนม.ปลาย?
ใช่ ม.ปลายนี่แหละ
ซินเล่าเรื่องตอนม.ปลายให้ฟังนะ

อืม
ตอนเด็กๆเวลาซินไปไหว้พระ ก็จะขอพรให้หนูเป็นเด็กดี //พ่อแม่ชอบสอนขอพรให้เป็นเด็กดี
ซึ่งโตมาก็งง ขออะไรไปวะ พระจะทำให้เราดีหรอ

ซินเริ่มไม่ค่อยศรัทธาพระพุทธเจ้าตอนม.ต้นปลาย ม.2-3 หลังจากได้ยินคำแปลของบทสวด

มันแปลว่า?
มันเป็นแบบสรรเสริญพระพุทธเจ้าซินก็เลยคิดว่าพ.พ.ท.จ. ชอบสรรเสริญตัวเอง
จริงๆแล้วมันเป็นบทสวดที่เค้าแต่งมาเพื่อสรรเสริญพระพุทธเจ้านะ//แต่ผู้ใหญ่บางคนเค้าก็ยังนึกว่าพระพุทธเจ้าคิดเองจริงๆนะ

อื้ม ไม่แปลก ทุกศาสนาก็มีเพลงสรรเสริญอยู่แล้วล่ะ
แล้วพอม.4 นี่หลุดเลย คิดว่าพระพุทธเจ้าไม่มีจิง (อินดี้มาก) เป็นแค่คำสอนที่เล่าๆกันมาเฉยๆ เพระาช่วงนั้นคนทำบาปเยอะเลยคิดเอาเองว่ามีฤาษีกุเรื่องนี้มาสอนคน ฮ่าๆ

อืม
แต่ไอ้สวดแล้วได้บุญก็เกินไป<< จริง พระพุทธเจ้า บอกไว้ว่า กรรม ย่อมเกิดจากผลของการกระทำ ถ้าเราไม่ทำอะไรจะมีกรรมเกิดขึ้นได้ไงจริงมั้ยพี่ แต่ไอ้มาสอนเด็กท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองแบบนี้ มันได้อะไร

แล้ว เพื่อนๆในห้องซินคิดว่าไงบ้าง?
เค้านับถือกันนะ
อืม คือซินอะไม่นับถือศาสนาเลยให้ตายแต่ชอบทำบุญ//
เออมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง

ว่า?
เค้าบอกกันว่า ฆ่ามดตัวนึงเหมือนตัดชีวิตไปหนึ่งชีวิต
ศาสนาสอนเราว่า ทุกชีวิตมีค่าเท่ากัน

อื้ม
แต่ทำไมเวลาทำบุญ เคยเห็นมั้ยหนังสือหน่วยบุญอะ ที่ทำบุญกับพระได้ 1000 บุญ ทำบุญกับขอทานได้ลดลงมาหน่อย กับสัตว์ก็ลดลงมาอีก

ถ้าทำบุญโดยการสร้างวิหารไห้พระนับเป็นกุศลครั้งใหญ่กว่าการทำครั้งไหน<< แล้วยังงี้คนจนมันจะได้ขึ้นสวรรค์กะเค้ามั้ย หนังสือหน่วยบุญอะเขียนไว้ มีจริง พี่ลองเสิร์ชสิ เนี่ย มันเลยทำไห้ซินไม่อยากจะนับถือศาสนาไง
พี่ เค้าบอกกันว่าทำบุญกับพระได้ผลบุญมากกว่าทำบุญกับคนบาป
ใครคิดทฤษฎีนี้ขึ้นมา

อืมม
ทำไมเวลาทำบุญเราต้องเลือกหรือไง
อีกอย่างพระอะเป็นคนที่รู้ผิดชอบชั่วดี เค้ามีบุญเยอะอยู่แล้วเพราะบวชในพุทธศาสนา
แต่ถ้าเราทำบุญกับคนบาปแบบชี้ทางให้เลิกทำชั่วกลับตัวเป็นคนดี ให้โอกาสใหม่อะ อย่างนี้ไม่ประเสิดกว่าเหรอ
จริงมั้ยพี่

อืมมม
ความคิดซินอาจแปลกๆหน่อยนะ แต่ซินก็คิดอย่างงั้นอะ

แล้วถามวกกลับมาเรื่องการเรียนในห้องหน่อย เพื่อนรู้มั้ยว่าเราคิดแบบนี้?
เพื่อนที่นับถือกันมันก็แช่งให้ซินนรกกินหัวอยู่ทุกวัน 555

แล้วเราเคยแสดงความคิดแบบนี้กับอาจารย์มั้ย?
ไม่เคย พูดกับอาจารย์ เพราะคิดว่าพูดไปเค้าก็ไม่รับฟังกับอาจารย์หัวโบราณที่ไม่เคยคิดรับอะไรใหม่ๆ

อืมม พ่อแม่รู้มั้ยว่าเราเป็นคนแบบนี้
หรือเค้าไม่ค่อยอะไรเรื่องพระ เรื่องวัด เช่น พาไปวัด อะไรงี้?
ตอนเด็กไปบ่อยโตมาไม่ค่อย
พ่อแม่รู้ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่แม่อะคิดค่อนข้างเหมือน
พ่อแม่ไม่ชอบทำบุญ
เค้าบอกว่าทำแบบที่เห็นผลได้จริงดีกว่า

อืม ผมอยากรู้ความคิด ของเพื่อนๆในห้อง ที่เค้าเรียน คือเค้าไม่ต่อต้าน ไม่สงสัยอะไร รึไง?
มันจะมีเพื่อนหญิง ชาย คู่หนึ่ง ซึ่งเชื่อ ในการทำบุญมาก
คือ มันก็เกลียดซิน ซินก็เกลียดมัน

อืม
เชื่อมั้ยปีใหม่มันนั่งสวดชินบัญชรข้ามปี แล้วมาบอกว่าจะได้บุญมาก
ในขณะที่เพื่อนต้องนั่งปั่นงานกลุ่มกันแทบตายข้ามปัอะพี่
คิดแล้วมันแค้น

ฮ่าๆๆๆๆ
มันงมงายเกินสำหรับเด็กวัยนี้อะบ้าหรอ ประสาทป่าว

แล้วไปมีเรื่องไรที่เขาไม่ชอบซิน ซินไปว่าเขาเรื่อง เอาแต่สวดมนต์ ไม่ทำงานเหรอ?
ซินไปพูดทำนองนี้แหละ เรื่อสวดมนต์อะ(มันทั้ง2บ้าการสวดมนต์มาก) บอกว่าสวดไปได้บุญยังไง ถามไปอะ
มีเรื่องตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว
มันก็มาเป็นชุดพูดลอกคำพระที่มันเพิ่งไปฟังเทศน์มาใส่เรา ไม่เข้าใจ แล้วมันบอกว่า จิตใจซินไม่สูงพอที่จะฟังคำพวกนี้
ดูมันดิ

ฮ่าๆๆ
55 เพื่อนคนอื่นก็เบื่ออาจารย์อะ

อืมมม
มีแต่คนเบื่อวิชา แต่ศาสนาคิดว่านับถือกันนะ

ถ้าอาจารย์ไม่งมงาย ก็โอเค?
ถ้าอาจารย์ไม่งมงาย ก็โอเค? มั้ง ซินชอบอะไรที่มีที่มาที่ไป
อะมีคำถามนึงที่เพื่อนซินนับถือศาสนาทำให้ซินตอบไม่ได้เหมือนกันนะ
ค่อนข้างน่าสนใจ

อืมม เขาว่าไง?
มันถามซินว่า เชื่อมั้ยว่าพระพุทธเจ้ามีจริง
ซินก็บอก ไม่รู้สิ ไม่ค่อยเชื่อ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าพระพุทธเจ้ามีจริง แล้ว กฏแห่งกรรมมีจริงหรือเปล่า พวกศาสนามันเหมือนเรียนในสิ่งที่มองไม่เห็นและไม่เคยรู้
มันก็ถามมาอีก แล้วแกเรียนวิชาเคมีแกเชื่อกฎนักเคมีได้ไง ใน้เมื่ออะตอมยังมองไม่เห็นเลย
เรื่องอะตอมเราก็เรียนมาจากทึดสะดี ก็เหมือนศาสนานั่นแหละ

อืมม
ที่พิสูจน์มาหลายๆๆครั้ง เป็นพันๆปีถึงจะได้บทสรุปออกมา
แล้วก็ต่ออะไรอีก จำไม่ได้นะ แต่มันก็ทำให้พอคิดได้อยู่เหมือนกันนะว่าไออะตอมที่เราเรียนๆกันอยู่มันรูปร่างแบบนี้แหละ จากที่เคยไม่ไว้ใจศาสนาเริ่มมาไม่ไว้ใจเคมี ฮ่าๆๆๆ

--------




บทสัมภาษณ์นักศึกษาภาควิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ส่วนนี้เป็นบางส่วนที่ต่อยอดมาจากบทสัมภาษณ์ด้านบน

ไม่เชื่อในศาสนาตั้งแต่เมื่อไหร่?
ก็ตั้งแต่จำความได้

ทำไม?
ก็ไม่ทำไม ผมว่ามันไม่เมคเซนส์ พิสูจน์ไม่ได้ และต้องใช้ความเชื่อสูง

เป็นคนสนใจวิทยาศาสตร์ใช่มั้ย?
อืม ครับ จะว่างั้นก็ได้

เชื่อเรื่องพลังจิตไหม?
ไม่เชื่อครับ เอาพลังจิตขั้นไหนล่ะ

เทเลพาธี... ไม่ต้องหรอก เขาบอกว่าถ้าคุณจ้องใครที่มุมห้อง แล้วเขาหันหลังกลับมาหาคุณได้คุณมีพลังจิตนะ
ผมว่าฟลุค มันอาจจะเป็นความเป็นไปได้ ถ้าในกรณีนั้นผมอาจจะเชื่อเรื่องการรู้สึกว่าถูกจ้องมอง มากกว่ามีพลังของการจ้องมองเอง

ถ้ามีคนอธิบายเรื่องพลังจิต การเวียนว่ายตายเกิดเป็นภาษาที่คุณยอมรับได้ คุณจะยอมรับมั้ย เช่น แทนที่คนเราตายแล้ววิญญาณจะหลุดออกจากร่าง เป็น.. เป็นยังไงดี เขาว่าคนเราเวลาสมองเกร็งตัวจะมีคลื่นไฟฟ้า แล้วประจุคลื่นพลังงานตรงนั้นถูกถ่ายทอดหลงเหลือออกมามากก่อนตาย ล่องลอยอยู่ในอากาศ มันเป็นไงมั่ง ถ้าอธิบายในแง่ลักษณะนี้?
ไม่ครับ ผมไม่เชื่ออยู่ดี มันต้องเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ ไอ้แบบนั้นนักเขียนการ์ตูนหรือผมก็ทำได้น่ะนะ ถ้ายังพิสูจไม่ได้มันก็แค่พล็อตนิยายไซไฟ

สมมุติคุณเรียนวิทยาศาสตร์ มันมีทฤษฏีต่างๆ อะไรแบบนี้มันก็ล้วนเป็นเรื่องสมมุติไม่ใช่เหรอ แบบเราก็ไม่เคยเห็นว่าโปรตอน อะตอม เป็นยังไง?
ทฤษฏีที่ลอยๆอยู่มีเยอะครับ เพราะหลายทฤษฏีก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้จริงในยุคนี้ อุปกรณ์เครื่องมือไม่พร้อม ซึ่งระยะหลังๆใครที่พิสูจน์ได้ก็ดังไปเลย แต่ในแง่ที่เป็นแค่ทฤษฏีลอยๆมันก็มีเยอะอยู่ดี

ผมว่ามันก็เหมือนศาสนาสิงั้น? เพราะเราก็ยังอยู่ในยุคที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์และยืนยันได้อีกเยอะ
คล้ายครับ แต่มีส่วนต่างสุดๆเลย

คือ?
นักวิทยาศาสตร์ เมื่อมีอะไรพิสูจน์ สามารถหักล้างทฤษฏีได้ครับ มีทฤษฏีในโลกนี้หักล้างไปเยอะมาก
ส่วนศาสนา เมื่อมีอะไรหักล้าง จะแถไปอยู่ในโซนของความเชื่อ
วิทยาศาสตร์แถไม่ได้ครับ

----------------------
ข้าพเจ้าได้ความเห็นของนักเรียนนักศึกษาคร่าวๆ เพื่อในไปตั้งกระทู้ถามความเห็นของคนอื่นๆในเว็บบอร์ด
แต่เดี๋ยวจะยาวเกินไป ขอยกยอดไปตอนที่สองนะครับ

>> ปล่อยนกปล่อยปลา บุญหรือบาป

.

การปล่อยนกปล่อยปลา ที่ทำกันในสมัยโบราณ อาจมองได้ว่าเป็นการให้ชีวิต ให้ทานแก่สัตว์ ที่กำลังจะถูกฆ่าหรือถูกักขัง
แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไป กลายเป็นว่ามีผู้ยึดการจับสัตว์มาให้คนซื้อไปปล่อยเป็นกอบเป็นกำ แล้วอะไรมันคือบุญหรือบาป
เพราะเมื่อเรายิ่งสนับสนุน ก็จะมีสัตว์ถูกจับมากขึ้น

แต่การทำบุญแบบนี้ก็ยังมีพบเห็นอยู่ แล้วอะไรคือเหตุผลที่มันยังอยู่ได้ ประชาชนคิดยังไง ลองไปอ่านกันดูครับ

* * กระทู้สงสัย : ปล่อยนกปล่อยปลา นี่เป็นบุญหรือบาป คะ * *
ความเห็นจากพันทิป

--------------

ปล่อยนกปล่อยปลา นี่เป็นบุญหรือบาป ครับ
ความเห็นจากเว็บบอร์ดเด็กดี

--------------

"ปล่อยสัตว์อย่างไรให้ได้บุญ" <<< click เพื่อรับฟังเทศนา

"การทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ เราจะต้องทำด้วยจิตมุ่งเป็นกุศลจริง ๆ

หมายความว่าเราอยากจะช่วยเหลือเกื้อกูลสัตว์จริง ๆ
แต่ว่าถ้าเราเอาสัตว์มาปล่อย แล้วเราก็อธิษฐานว่า
"สาธุ ขอให้การปล่อยนี้นะทำให้ฉันอายุยืนหน่อยเถอะ ขอให้ถูกเลขหน่อยเถอะ ขอให้หายซวยหน่อยเถอะ"
สิ่งนี้ถือว่าไม่เข้าเกณฑ์ เพราะว่าเจตนาไม่เป็นกุศล
เจตนาเป็นกุศลก็หมายความว่า เราเห็นเขาตกทุกข์ได้ยาก แล้วต้องการจะช่วยเหลือเขาให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก
โดยที่ไม่ได้ร้องผลตอบแทนอะไรเลย
เมื่อเจตนาเราเป็นกุศลมันจึงจะเป็นบุญ แต่ถ้าเรามีเจตนาเคลือบแฝง เช่นปล่อยเขาเพื่ออยากให้เราดีขึ้น
เพื่ออยากให้เราหายทุกข์หายโศก หายซวย อย่างนี้มันไม่ใช่การทำบุญ แต่เป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง
เพราะเจตนาของเราจริง ๆ เราไม่ได้ต้องการช่วยเขาหรอกนะ ต้องการช่วยตัวเองต่างหาก แต่ยืมเขามาเป็นเครื่องมือ


ถ้าท่านเมตตาจริง ๆ นะ ปล่อยให้นกอยู่บนฟ้า ปล่อยให้ปลาอยู่ในน้ำ
นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ปล่อยให้สัตว์ได้อยู่อย่างสัตว์ นั่นแหละคือการปล่อยนกปล่อยปลาที่แท้จริง"

- เทศนาเรื่อง"ปล่อยสัตว์อย่างไรให้ได้บุญ"โดย ท่านว.วชิรเมธี

----------------

"อาชีพคนจับก็ได้บาปไป ผู้ที่ปล่อยก็ได้บุญไป
คือบุญมันคือความสบายใจ อิ่มเอิบใจนะ
คือเราห้ามเค้าไม่ได้หรอก เรื่องจับ มันก็เหมือนที่เค้าปล่อยปลาปล่อยเต่า
อาตมาก็เห็นที่วัดระฆัง เขาปล่อยเต่า ปล่อยไปไม่เท่าไหร่ แล้วก็ว่ายไปจับกลับมา

แต่อย่าไปคิดมาก เราทำไปก็ได้บุญ เราคิดมากก็ไม่ได้บุญ
เรื่องจับ มันเป็นเรื่องบาปของเค้า
เราไม่ได้บาปด้วยหรอก"

- จากบทสัมภาษณ์พระกฤษวัฒน์ วัดป่านาบุญ จังหวัดเชียงใหม่

--------------

"มันเป็นบุญไม่เต็ม บุญจะประกอบด้วยสามส่วนนะคือ 1.ใจเป็นบุญ 2.สิ่งที่ให้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง 3.คนรับมีความสุข นี่คือบุญที่เต็ม
ถ้าปลาที่จะโดนฆ่าในตลาด นั่นคือบุญเต็มแน่นอน แต่ถ้าประเภทจับมาปล่อยนี่ไม่ใช่แล้ว อาจจะเป็นการส่งเสริมให้พวกที่จับมาปล่อยเป็นการค้า เป็นการช่วยกันทำบาปซะอีก"

- จากบทสัมภาษณ์พระสมภพ วัดบางกระดี่

>> พระสงฆ์ กับ การเมือง

.

พระสงฆ์กับการเมือง เป็นประเด็นที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในสังคมไทย ตั้งแต่คดีฮุบที่ดินวัด จนถึงขึ้นเวทีเสื้อสีทั้งหลาย
เมื่อกระแสสังคมที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์แต่ละครั้งเงียบลง ก็มีเรื่องราวการประท้วงหรือเข้าร่วมกลุ่มประท้วงเกิดขึ้นอีก

ข้าพเจ้าจึงสงสัยว่า การเคลื่อนไหวของสงฆ์ในสังคมนั้นมีขอบเขตอยู่ที่ตรงไหน และได้นำไปสัมภาษณ์ หาข้อมูลต่างๆ ดังนี้

------------

ถามเรื่องบทบาทของ พระสงฆ์ กับ การเมืองหน่อยครับ (ห้องการเมือง)

------------

ถามเรื่องบทบาทของ พระสงฆ์ กับ การเมืองหน่อยครับ (ห้องศาสนา)

------------


เสียงบันทึกรายการ "ธรรมาภิวัฒน์"
เรื่อง บทบาทพระสงฆ์กับการเมือง

บทสัมภาษณ์ของท่าน ว.วชิรเมธี
------------

ว.วชิรเมธี วันนี้ต้องกระตุกกันหน่อย
ตอบโต้บทสัมภาษณ์รายการ ธรรมาภิวัฒน์ ในเรื่อง บทบาทพระสงฆ์กับการเมือง โดย ว.วชิรเมธี ของวโรทาห์
-------------

ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวเกี่ยวกับความเป็นกลาง น่าลองอ่านดูค่ะ
มุมมองบทสัมภาษณ์ของท่าน ว.วชิรเมธี ในมุมมองของพันธมิตร
-------------
จาก mThai
-------------

"จริงๆแล้วพระไม่ควรยุ่งเลย ในเรื่องการเมือง ทางโลก ถ้าท่านยังสนใจในเรื่องการเมืองและทางโลก ท่านก็เป็นปุถุชน
ในเรื่องฮุบที่ดินวัดนี่มีสิทธิ สามารถเรียกร้องสิทธิ์ตรงนั้นได้นะ มันเป็นที่ของวัด โยมจะตัดต้นไม้ในวัด โยมยังต้องขอเลยนะ
คือถ้าเกี่ยวกับความเป็นอยู่ก็สามารถเรียกร้องได้"

พระกฤตวัฒน์ วัดป่านาบุญ จังหวัดเชียงใหม่

>> บทสัมภาษณ์พระสมภพ วัดบางกระดี่

พระที่ให้สัมภาษณ์เป็นพระหนุ่ม ที่เลือกสัมภาษณ์รูปนี้เพราะมี อายุใกล้เคียง และรู้จักกันมาก่อน น่าจะให้คำตอบได้ถ้าถามในประเด็นที่ละเอียดอ่อน (เป็นพระองค์แรกที่ให้สัมภาษณ์ ข้าพเจ้าไม่แน่ใจในเรื่องความกระทบกระเทือนจิตใจของคำถาม)

แม้ว่าพระสมภพไม่ได้เป็นพระชิ่อดัง หรือพรรณษาเยอะส่วนตัวข้าพเจ้าคิดว่า บทสัมภาษณ์บทนี้อาจเป็นตัวแทนของชายหนุ่มที่บวชเรียนตามประเพณีได้ โดยคำถามแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ในแง่ของจิตใจ และการประพฤติ กับ ความเชื่อและพุทธประวัติ

-------------------------

1. ปัจจุบัน การฆ่าสัตว์ ไม่ได้ทำเพื่อปรุงกินเอง แต่ทำเพื่อป้อนเข้าสู่กระแสสังคม บาปยังตกอยู่กับใคร เพราะไม่ว่ายังไงสังคมนี้ก็ต้องมีคนฆ่าอยู่แล้ว ตามกลไกของสังคม จริงไหม?

บาปแน่นอน เจตนาฆ่า คนฆ่าเป็นบาป คนกินก็เป็นเศษกรรม มันหลดหลั่นกันไป

2.บาปยังไง ทำไมถึงลดหลั่นได้?

ต้องอธิบายก่อนว่า บาปเนี่ย ในการฆ่าสัตว์ คนไทยมักเข้าใจผิดว่า วันนี้เหยียบมดตาย ต้องชดใช้เต็มๆ คือความจริงมันขึ้นอยู่กับขนาดของสัตว์ด้วย สัตว์ที่เราลงเจตนาฆ่า ต้องใช้แรงเยอะ วิธีซับซ้อน ความรู้สึกเจ็บปวดของมันเยอะ ก็บาปเยอะ เราเชือดไก่ด้วยมีดได้ แต่ช้างนี้เอาปืนยิงมันยังไม่ตายเลย

มันก็เหมือนกับการฆ่า แล้วจ้างวานนั่นแหละ โอเค คนกินอาจไม่ได้จ้างวานโดยตรง แต่ถ้าเขาฆ่ามาแล้วมารับเงินจากคนกิน ขึ้นศาลก็ต้องมีบทลงโทษกันไป

3.ทหาร ตำรวจ หรือคนที่ฆ่าคนเพราะหน้าที่ อุดมการณ์ อย่างพอลพต ฮิตเลอร์ รูสเวลท์นี่ คิดยังไง คือเขาไม่ได้รู้สึกผิดบาปเพราะมันเป็นหน้าที่ แล้วทำไมพวกนักการเมืองอย่างที่ว่ามานี่ ตอนตายทำไมมันสบายจัง?

พิสูจน์ได้เหรอว่าตายสบาย เขาอาจตกนรกก็ได้นะ

ตอบเรื่องตำรวจฆ่าโจร หรือ การทำหน้าที่ของทหารก่อน คือ บาป หรือ นรก เนี่ยมันมองได้สองมุม คือ บาปในใจ นรกในใจ และ นรกจริงๆที่เป็นสถานที่ลงโทษคนบาป เราอาจจะพิสูจน์ไม่ได้ว่านรกมีจริงมั้ย แต่แน่นอนว่า ถ้าเราเอาปืนไปยิงใครซักคนตายเนี่ย เราต้องรู้สึกผิดแน่นอน นั่นคือนรกในใจ เป็นบาปเกิดในใจ

ซึ่งมองกลับกัน เราฆ่าโจรเพื่อปกป้องใครซักคน หรือทำตามหน้าที่ อย่างน้อยเราก็จะมีความรู้สึกชอบธรรมมากกว่ากรณีแรกใช่มั้ย เรื่องบาปบุญน่ะ ต้องดูเจตนาเป็นสำคัญด้วย

4. เหมาะมั้ยที่พระไปพันทิพย์? แล้วพระไปทำอะไร ซื้อคอม ซื้อมือถือไปทำอะไร? ไม่ได้พูดถึงว่าเณรไปซื้อเกมนะ มันค่อนข้างชัดอยู่แล้ว

ไม่เหมาะนะ ยกเว้นแต่ว่าไปในกิจธุระเช่น ซื้อคอมเพื่อการศึกษา บริจาคให้โรงเรียน คือมีกิจที่ต้องไปจริงๆ แล้วก็พระไม่ควรใช้เงินนะ เงินมันเป็นของทางโลก

5. พระที่ปลุกเสกเครื่องบูชา จตุคาม หรือแสดงปาฏิหารย์ อะไรพวกนี้ เหมาะมั้ย?

มันมีนิทานเล่านะในพระไตรปิฏก คือมีพระที่เหาะเหินเดินอากาศได้ ก็เพลิดเพลินใจกับการเหาะเหินนั่นแหละ ไม่มาโปรดสัตว์ เผยแพร่บุญ พอกุศลหมด ก็ตกลงมาตาย

ในความเป็นจริงแล้วก็มีกฎอยู่ ถ้าอวดอ้างปาฏิหาริย์ทั้งๆที่ไม่มีจริงก็คือ จับสึกเลย แต่ถ้ามีจริงก็โทษลดหลั่นไป

ส่วนเรื่องปลุกเสกนี่ไม่ควรนะ มันมอมเมา เมื่อที่ผ่านมามีข่าวว่าหลวงปู่คนหนึ่ง ที่วัดมีจระเข้ พอท่านมรณภาพไป ก็มีคนบอกว่าท่านไปเกิดใหม่เป็นจระเข้ ชาวบ้านเอาจระเข้ามาบูชา ซึ่งตามหลักจริงๆมันแย่มาก เป็นพระมาก่อนแต่ชาติต่อไป ดันไปเกิดเป็นเดรัจฉาน มันไม่ใช่ บางทีชาวพุทธก็หลงไปเองด้วย ไม่ใช่แค่พระสงฆ์

6.แล้วก็ยังมีพระที่ปลุกเสกอะไรพวกนี้อยู่ดีในสังคมใช่ไหม หมู่พระด้วยกันเองเขาเตือนกันบ้างมั้ย?

คือต้องเข้าใจก่อนเลยว่า พระนี่ คือชาวบ้าน ชาวบ้านที่เข้ามาบวช บางคนไม่ได้รับการศึกษามาบวช เขาก็ทำอะไรแบบนี้แหละ แล้วมันก็มีพระวินัย 1 ในศีล 227 ข้อ คือพระองค์ใด กล่าวหาพระอีกองค์โดยไม่มีหลักฐาน ถือว่าอาบัติ มันก็เลยไม่ค่อยมีใครมาตรวจสอบใคร ก็เลยปล่อยๆกันไป ยกเว้นทางกรมศาสนา หรือ มหาเถรสมาคม

แต่มันมีกลไกการตรวจสอบที่ง่ายกว่านั้นคือ การร้องเรียนของชาวบ้าน ชาวบ้านจะเป็นคนตัดสินเป็นส่วนใหญ่ เหมือนเราได้ยินตามข่าวคือ ชาวบ้านจะไปเรียกร้องให้พระสึก หรือแจ้งตำรวจเอง กลับกันถ้าชาวบ้านปล่อยปละละเลย พระที่อาบัติก็อาจถูกมองข้ามเหมือนกัน

ตัวอย่างในวัดนี้ก็มี บางทีพระบางองค์นั่งฉันท์กันอยู่ก็พูดกระทบกระทั่งกัน ประชดกัน มันก็เหมือนชาวบ้านนั่นแหละ การตักเตือนกันก็มีนะ เหมือนสังคมทั่วไป ผู้ใหญ่ติผู้น้อย ซึ่งหลักๆคนที่มีหน้าที่ดูแลคือ เจ้าอาวาส

7. ถ้ามันมีชาวบ้านที่งมงายจริงๆ และพระที่รู้ว่ามัน ไม่ใช่ จริงๆ แล้วทำไมมันถึงลุกลามกันเยอะอย่างนี้ ความงมงายในสังคมน่ะ?

ข้อแรก อย่างที่ตอบไป พระบางส่วนก็เป็นชาวบ้านเข้ามา และชาวบ้านศรัทธาศาสนาเพราะ กุศล ศักดิ์สิทธิ์ ปาฏิหารย์ ข้อที่สองคือ พุทธศาสนาไม่ได้มีข้อห้ามในการนับถือเทพองค์อื่น หรือ นับถือเครื่องบูชา มันเลยมีสิ่งพวกนี้เข้ามากวน เราไม่ได้ห้ามเหมือนศาสนาอิสลาม ของเขาห้ามหมดจดเลย มันเลยไม่มีอะไรมากวนในชีวิตประจำวันของเขา

หน้าที่ของเราก็คือต้องคอยเตือนสติเขาว่า ท่านกำลังทำอะไร มากกว่า

มันก็เป็นหน้าที่ของการศึกษาด้วย สังเกตว่าคนเมืองกับชาวบ้านจะต่างกัน พระห้ามให้เชื่อไม่ได้ แต่การศึกษาจะบอกเอง

8. ทางพระสงฆ์พอใจในสภาพแบบนี้มั้ย?

ไม่ แต่มันไม่ใช่กิจของสงฆ์ในการห้ามปราม เราบอกแก่ชาวบ้านได้ว่าให้มีสติในการศรัทธา แต่เราห้ามใครไม่ได้ ใครกราบไหว้อะไรไม่ได้ ใครเทศน์ได้ก็เทศน์ แต่ใครบัวในตม เราก็ต้องปล่อยวาง

9.ถามเรื่องปล่อยนกปล่อยปลาหน่อย ตกลงมันได้บุญจริงมั้ย?

ไม่ได้ มันเป็นบุญไม่เต็ม บุญจะประกอบด้วยสามส่วนนะคือ 1.ใจเป็นบุญ 2.สิ่งที่ให้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง 3.คนรับมีความสุข นี่คือบุญที่เต็ม

ถ้าปลาที่จะโดนฆ่าในตลาด นั่นคือบุญเต็มแน่นอน แต่ถ้าประเภทจับมาปล่อยนี่ไม่ใช่แล้ว อาจจะเป็นการส่งเสริมให้พวกที่จับมาปล่อยเป็นการค้า เป็นการช่วยกันทำบาปซะอีก

10.ทำไมชอบสร้างโบสถ์ใหญ่ๆกัน?

เพราะชาวบ้านคิดว่า มาบริจาคสร้างโบสถ์ แล้วจะได้บุญ

การสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม ให้จุชาวบ้านที่มาทำบุญได้มากเป็นเรื่องดี แต่ชาวบ้านบริจาคเพราะต้องการกุศลตอบแทน อันนี้เป็นเรื่องไม่ค่อยดี หวังแต่ว่า ขอให้ชาติหน้ารวยๆ ขอให้โชคดี

และอีกอย่างที่เป็นปัญหามาก คือ การทำบุญแล้วแปะชื่อตัวเองเข้าไป เช่น ถวายห้องน้ำ การทำบุญนี่ควรให้อย่างไม่หวังสิ่งตอบแทนนะ แต่นี่ถวายห้องน้ำ แถมแปะชื่อ แปะจำนวนเงิน คือยึดติดและหวังผลมาก

ชาวบ้านบางคนก็จะเขียนชื่อตัวเองไว้ในกระเบื้องที่บริจาค เพราะเชื่อว่าจะได้ไปสวรรค์ถูกคน เป็นหลักฐานอะไรแบบนั้น บางคนก็บริจาคเพื่ออวดบารมี

11.ทำไมต้องใช้ภาษาบาลี

ภาษาบาลี เป็นศาสนาสากลของพุทธทั่วโลก เหมือนเราใช้ภาษาอังกฤษ

12.ไม่คิดเหรอว่ามันทำให้ยากต่อการเข้าใจ มันเป็นปัญหากับการดึงคนเข้ามาศรัทธามั้ย

มันก็มีปัญหานะ แต่อีกคนละมุม นี่เลย ที่ผ่านมา ชาวบ้านบอกว่าสวดบาลีแล้วจะได้บุญ เอาเข้าไป คือประโยชน์ของมันจริงๆแล้ว ศาสนาพุทธ มีทั่วโลก และมีอายุยืนนาน ภาษาบาลีมันเป็นภาษากลางที่แปลทีเดียวเข้าใจ ไม่ต้องการตีความซ้ำซ้อน เช่น แปลบาลีเป็นอังกฤษ หลังๆหน่อยก็แปลจากอังกฤษเป็นไทย ซึ่งเมื่อเป็นแบบนั้นมันจะทำให้เกิดการบิดเบือนได้ง่าย ดังนั้น ตัดปัญหาคือใช้บาลีเป็นภาษากลางเลย

ในฐานะพุทธศาสนิกชน รู้ภาบาลีก็ดี จะเข้าเข้าใจหลักธรรมมากขึ้น

13.จุดสุดยอดของศาสนาพุทธคืออะไร นิพพาน?

เราต้องการให้คนมีความสุข ไม่เป็นทุกข์เพราะกิเลส เรื่องการหลุดพ้นนั่นก็เป็นอีกขั้นนึงของผู้ที่อุทิศตนให้ศาสนา ประพฤติตนเพื่อดับกิเลสทุกอย่าง แต่พูดจริงๆแล้วถ้าทุกคนบวชเป็นพระหมด สังคมก็อาจจะเดินต่อไปไม่ได้

14. ศาสนาอื่นมีการเผยพร่ศาสนาในเชิงรุก ทำไมเราไม่ทำแบบนั้นบ้าง มันน่าจะแก้ปัญหาเรื่องความไม่เข้าถึงของชาวบ้านได้นะ

การบวชของพุทธเป็นได้ทั้งการเข้ามาศึกษาธรรม เข้ามาบวชตามประเพณี เข้ามาคงไว้ซึ่งศาสนา จนถึงเข้ามาเผยแพร่ ส่วนมากก็จะเป็นแบบแรกนี่แหละ คือ ชาวบ้าน คนทั่วไป เข้ามาเอง เมื่อพอใจแล้ว รู้ซึ้งแล้ว ก็สึกไปตามทางชีวิตแต่ละคน นำหลักธรรมไปใช้ชีวิต

ส่วนเรื่องการเผยแพร่ในเชิงรุก ก็มีการทำโครงการต่างๆ แต่ให้เทศน์พร่ำสอนดะไปเลยก็ไม่ได้ มีพระวินัยในการเทศน์เหมือนกันนะ เช่น ไม่เทศน์คนสวมรองเท้า ไม่เทศน์คนถืออาวุธ เวลาเราจะแสดงธรรมกับใคร เราต้องดูด้วย ว่าเค้าพร้อมจะฟังรึเปล่า

คำถาม ใน แง่ของพุทธประวัติ และความเชื่อ

เป็นคำถามที่สัมภาษณ์ที่วัดบางกระดี่กับพระสมภพ และพุทศาสนิกชนคนหนึ่งที่เพิ่งสึกออกม

การเหาะเหินเดินอากาศพวกนี้ คิดว่ามีจริงมั้ย?

- อาจจะมี หรือไม่มีก็ได้นะ ไม่ได้สนใจเท่าไหร่

- คิดว่ามี เพราะมันมีปรากฏข้อห้ามในธรรมวินัยเรื่องการแสดงปาฏิหาริย์ ถ้ามีห้าม ก็น่าจะมีจริง

2. คิดว่าพุทธประวัตินี่คือชาดก เพื่อแต่งมาสู้กับพราหมณ์ ฮินดูมั้ย

- อาตมาเชื่อว่า พระพุทธเจ้าเป็นอัจฉริยะบุคคล ที่ร้อยปี อาจจะมีซักคน ส่วนอย่างอื่นอาจจะแต่งเสริมมา

- สมัยบวชมีพระอาจารย์จากเนปาล ชื่อ พระดร. อนิลมาน ธมฺมสากิโย เป็นด็อกเตอร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพุทธประวัติ ท่านมาเทศน์ที่วัดบวรฯ ท่านเล่าว่า ตั้งแต่ประสูติจนถึงตรัสรู้ ก่อนหน้านี้ชื่อสิทธัตถะไม่ปรากฏในสายราชวงศ์ของอินเดียเลย และเรื่องราวพุทธประวัติก็ถูกบันทึกหลังจากท่านนิพพานไป 400 ปี

3.ก็ใส่กันสนุกเลยสิงั้น

- ท่านบอกว่า ไม่บอกนะว่าตกลงพุทธประวัติแต่งขึ้นรึเปล่า ต้องไปหาค้นคว้าเอาเอง พิจารณาเอาเอง

- อาตมาสงสัยอีกอย่างคือ ดอกบัวเนี่ย เราก็รู้ๆว่าตอนประสูติมีดอกบัวใช่มั้ย แต่ทำไมต้องเป็นดอกบัวทั้งๆที่มันถูกตั้งขึ้นเป็นสัญลักษณ์ในภายหลังถึงการตรัสรู้

แล้วก็อีกอย่างคือ เรื่องการระลึกชาติที่ว่า ไปเป็นกวาง หรือ สัตว์อื่นน่ะ ทำไมไม่มีไปเป็นไดโนเสาร์ หรือสัตว์โบราณอะไรบ้าง เพราะมันก็มีถึงตอนนี้ เหมือนยุคนั้นผู้แต่งไม่คิดว่าจะมีสัตว์มากกว่าที่เห็นรึเปล่า

3.มีคำถามก่อนบวช ซึ่ง บวชแล้วมากระจ่างไหม

- ก็ไม่ค่อยนะ ส่วนมากมันก็ไม่ได้สำคัญเป็นประโยชน์กับชีวิต เช่นพวกพุทธประวัติ ชาดก อะไรพวกนี้

- มีระหว่างที่บวช เรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วน่ะ ดูตัวอย่างจากนักการเมืองบางคนผมว่ามันหนักมากแล้ว ทำไมยังอยู่ได้ ก็มีหลวงพี่มาสอนว่า เขายังมีบุญเยอะ มีสิ่งดีๆที่เขาทำอยู่หนุนอย่ เมื่อหมดไป ก็จะมีกรรมต่างๆมาชดใช้เอง

4.แล้วถ้าชิงตายก่อนยังบุญไม่หมดล่ะ

- อาจไปใช้ชาติหน้ามั้งไม่แน่หรอก ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน

5.ชาติหน้ามีจริงมั้ย

- อย่าเชื่อจนกว่าจะเห็นผลเลย

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

>> ที่มาของบล็อค Hidden Crack On The Wall.

บล็อคนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานในหัวข้อ"วิถีไทย-วิถีพุทธ" ของภาควิชานิเทศศิลป์ คณะมัณฑนศิลป์ ชั้นปริญญาโทปีที่ 1

ข้าพเจ้าจัดทำบล็อค และ fwd mail โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความตื่นตัว และหาคำตอบกับความเคลือบแคลงใจในศาสนาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ก่อนที่ปัญหาและสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรต่างๆจะกลายเป็นความชินชา และงมงายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยแสดงคำตอบในเชิงนานาทัศนะ จากเว็บบอร์ด คนทั่วไป และพระสงฆ์ที่ได้ไปสัมภาษณ์มา

ความเห็นที่แสดงในบล็อคนี้มีหลากหลาย และข้าพเจ้าไม่สามารถชี้ชัดลงได้ว่า ข้อไหนถูกที่สุด เพราะแม้แต่ในหมู่พระสงฆ์ก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างกัน ข้าพเจ้าจึงมิอาจบอกคำตอบให้ชัดเจนได้ด้วยเหตุดังกล่าวได้ จึงขอเรียนให้ท่านได้ทราบ และใช้วิจารณญาณในการวิเคราะห์คำตอบสำหรับตัวท่านเอง เพราะในทุกความเห็นสามารถมีมุมมองที่แตกต่าง และเติมเต็มท่านได้เสมอ

ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจ
ข้าพเจ้าคาดหวัง สังคมและศาสนาที่สามารถพูดคุยเข้าใจกันได้ด้วยเหตุผลและปัญญา อันจะสร้างความเจริญให้แก่สังคมของเราสืบไป





* ท่านสามารถเสนอความคิดเห็นปรับปรุง ประเด็นใหม่ และบทความของท่านได้ ผ่านทางเมล์ robosambo@hotmail.com